ก่อนเราจะอธิบายเรื่อง Layer เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า ว่า Blockchain นั้นเกี่ยวข้องกับคริปโทอย่างไร?
คริปโทเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin, Ethereum หรือเหรียญดิจิทัลใดๆก็ตาม ทำงานอยู่บนระบบที่เรียกว่า Blockchain ซึ่งเจ้า Blockchain ก็คือเครือข่ายจัดเก็บรายการธุรกรรมออนไลน์ ที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่างเช่นสถาบันการเงิน
ข้อมูลจะถูกกระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องซึ่งทุกคนจะเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นๆ จึงมีความปลอดภัยมากกว่าระบบแบบมีตัวกลาง
.
ซึ่งเครือข่ายของ Blockchain ก็ได้มีวิวัฒนาการเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของมันเอง โดยแบ่งออกเป็น 3 Layer ด้วยกัน
🟩Blockchain Layer 0 “โครงสร้างพื้นฐาน”
เป็น Layer ที่มีหน้าที่เชื่อมแต่ละ*โปรโตคอลให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดย Layer นี้จะประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เซิร์ฟเวอร์ คลังข้อมูล เป็นต้น
ตัวอย่าง Blockchain Layer 0: Cosmos, Axelar, Polkadot
*โปรโตคอล เป็นเหมือนภาษาที่ใช้สื่อสารภายในเครือข่าย ให้แต่ละส่วนสามารถเชื่อมต่อกันได้
.
🟩Blockchain Layer 1 “ธุรกรรม”
เป็น Layer ที่เริ่มมีธุรกรรมเกิดขึ้น ผ่านกลไกการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมบนเครือข่าย ซึ่งมีความปลอดภัยสูง แต่เมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมาก เครือข่ายที่มีอยู่จึงไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้การประมวลผลช้าลง ทำให้แต่ละธุรกรรมใช้เวลานาน และมีค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้น
ตัวอย่าง Blockchain Layer 1: Bitcoin, Ethereum, Cardano
.
🟩Blockchain Layer 2 “เพิ่มประสิทธิภาพ”
จากข้อจำกัดที่มีบน Layer 1 ตัว Blockchain ก็ได้พัฒนาเป็น Layer 2 เพื่อช่วยให้การประมวลผลทำได้รวดเร็วขึ้น เหมือนเป็นการขยายถนน ให้รถวิ่งได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเทคโนโลยีอย่าง Optimistic Rollup
ที่เป็นการเอาธุรกรรมบน Layer 1 มาประมวลผลบน Layer 2 เสร็จแล้วก็จะส่งกลับไปบันทึกข้อมูลบน Layer 1 ทำให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมได้เร็วขึ้น ซึ่งก็ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมถูกลงตามไปด้วยเช่นกัน
ตัวอย่าง Blockchain Layer 2: Optimism, Arbitrum
.
🟩Blockchain Layer 3 “แอปพลิเคชัน”
Layer สุดท้ายนี้ คือ Layer แอปพลิเคชัน ที่คนสามารถเข้ามาใช้งาน *แอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (Decentralized Application) ได้ ซึ่งทำงานผ่าน *Smart Contract ที่คอยเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่อยู่ใน Layer อื่นๆก่อนหน้า
*Decentralized Apps (DApp) คือ แอปพลิเคชันที่เปิดให้ผู้พัฒนาหรือผู้ใช้งานเข้ามาสร้างหรือใช้งานอย่างอิสระ ไม่ได้ถูกควบคุมจากองค์กรใดๆ
*Smart Contract คือ สัญญาอัจฉริยะที่ถูกตั้งค่าให้ทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าเงื่อนไขที่ระบุไว้
ช่วยลดขั้นตอนเอกสาร และไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง
ตัวอย่าง Blockchain Layer 3: Uniswap, Compound, Pancake Swap, Decentraland
จะเห็นว่า Blockchain แต่ละ Layer มีจุดเชื่อมโยงและเป็นพื้นฐานซึ่งกันและกัน
เพื่อจุดประสงค์หลักคือต้องการพัฒนาเครือข่ายให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
และสุดท้ายก็จะเป็นผลดีกับผู้ใช้งานเอง ที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ในเวอร์ชันที่ดียิ่งๆขึ้นไป
*คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้